ข่าวเด็ด E2BET
ทางเข้า E2BET คลิกที่นี่
ในขณะที่หลายลีกทั่วยุโรปเพิ่งเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ เรื่องราวสุดมหัศจรรย์กลับเกิดขึ้นแล้วที่ประเทศสวีเดน เมื่อสโมสรเล็กๆ จากเมืองชายฝั่งที่มีประชากรประมาณ 1,500 คน กลายเป็นทีมอันดับหนึ่งของประเทศได้อย่างเหลือเชื่อ
ออลสเวนสคาน (Allsvenskan) ลีกสูงสุดของสวีเดน เป็นเวทีของสโมสรใหญ่ประจำอย่าง มัลโม, AIK, ฮัมมาร์บี และ เยอร์การ์เดนส์ แต่ในฤดูกาลนี้ ทีมที่สร้างตำนานกลับไม่ใช่ยักษ์ใหญ่เหล่านั้น หากเป็น “มอลล์บี เอไอเอฟ” สโมสรจากเมืองเฮลเลวิค (Hällevik) ที่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดสมัยแรกได้สำเร็จ พร้อมการันตีตั๋วไปเล่นฟุตบอลยุโรป ทั้งที่ยังเหลือโปรแกรมการแข่งขันอีกถึง 3 นัด
เส้นทางของพวกเขาเรียกได้ว่า “เทพนิยายลูกหนัง” อย่างแท้จริง เพราะจากจุดเริ่มต้นของทีมเล็กในหมู่บ้านชาวประมง สู่การเฉียดล้มละลายในอดีต วันนี้กลับกลายเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยงบประมาณจำกัดแต่เต็มไปด้วยพลังของชุมชน
จากทีมท้องถิ่นเล็กๆ สู่สโมสรระดับชาติ
มอลล์บี เอไอเอฟ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1939 โดยกลุ่มคนในชุมชนชายฝั่งของเทศบาล Sölvesborg ที่หลงใหลในฟุตบอล พวกเขาเริ่มต้นจากการแข่งขันระดับภูมิภาค และค่อยๆ พัฒนาทีมขึ้นมาอย่างมั่นคงตลอดช่วงทศวรรษ 1940–1950
ชื่อของ มอลล์บี ถูกจดจำในฐานะ “โยโย่คลับ” ทีมที่มักขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างลีกสูงสุดและลีกรอง แต่สิ่งที่ไม่เคยหายไปคือจิตวิญญาณของชุมชน ความภาคภูมิใจในท้องถิ่น และแฟนบอลที่ภักดีต่อสโมสรอย่างเหนียวแน่น
พลังแห่งหมู่บ้านชายฝั่ง
ผู้คนในเขต Sölvesborg ส่วนใหญ่ทำงานประมงและเกษตรกรรม พวกเขาคือคนที่รู้จักความเหนื่อยยากและไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งพลังนั้นได้หล่อหลอมอยู่ในดีเอ็นเอของทีม
สนามเหย้าเล็กๆ ในเมือง Hällevik มีความจุเพียง 6,500 ที่นั่ง แต่ยอดผู้ชมเฉลี่ยกลับมากกว่าประชากรทั้งเมืองถึงสี่เท่า นี่คือหลักฐานว่าชาวบ้านเกือบทุกคนต่างมีส่วนร่วมกับสโมสรอย่างแท้จริง
แนวคิดใหม่ เปลี่ยนทีมเล็กให้กลายเป็นแชมป์
ทอม เพตเทอร์สัน ปราการหลังวัย 35 ปีของทีม เล่าว่า “ตอนผมมาที่นี่ ผมรู้ว่าเรามีศักยภาพ แต่สิ่งที่ขาดคือความเชื่อ เราต้องหยุดอ้างว่าเราเล็กเกินไปหรือจนเกินไป เราชนะได้ถ้าเราเชื่อในกันและกัน”
เอลเลียต สตราวด์ มิดฟิลด์ดาวรุ่งเสริมว่า “ที่นี่ไม่มีอีโก้ ทุกคนช่วยกันเต็มที่ สนุกกับทุกการฝึกซ้อม และนั่นคือพลังของเรา”
เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้ คือการเข้ามาของ คาร์ล มาริอุส อัคซุม ผู้ช่วยโค้ชชาวนอร์เวย์ เจ้าของปริญญาเอกด้าน “การรับรู้ด้วยภาพในฟุตบอล” โดยเฉพาะเรื่อง “การสแกนสนามก่อนรับบอล” หรือ Scanning ซึ่งกลายเป็นหัวใจสำคัญของแท็กติกใหม่
อัคซุม ปรับปรุงสไตล์การเล่นของทีมจากฟุตบอลโยนยาว มาเป็นเกมครองบอลจากแดนหลัง เดินเกมด้วยระบบและความเข้าใจ สถิติยืนยันว่า มอลล์บี คือทีมที่จ่ายบอลในแดนหลังมากที่สุดในลีก แต่กลับมีค่าเฉลี่ยการทำประตูสูงเป็นอันดับสองของประเทศ
จากวิกฤติสู่การวางรากฐานระยะยาว
เส้นทางสู่ความสำเร็จนี้เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2016 เมื่อสโมสรเกือบล้มละลาย แต่เพราะระบบ “50+1” ของฟุตบอลสวีเดน ที่ไม่เปิดให้เอกชนถือหุ้นใหญ่ สโมสรจึงต้องบริหารอย่างมีวินัยทางการเงิน
จาค็อบ ซีอีโอของ มอลล์บี กล่าวไว้อย่างน่าจดจำว่า “สำหรับทุกๆโครนาที่เราใช้ เราต้องถามตัวเองว่า มันทำให้เราดีขึ้นจริงไหม?”
สโมสรจึงเลือกสร้างรายได้ด้วยการปั้นดาวรุ่งและขายต่อ เช่น โคลิน รอสเลอร์ และ นิกลาส รอยค์ยาเออร์ ที่ถูกขายไปในราคาสูง ขณะเดียวกันก็รักษาความสมดุลระหว่างการพัฒนาเยาวชนกับการลุ้นความสำเร็จในสนาม
นักเตะหลายคนอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกัน ใช้ชีวิตเรียบง่าย กินข้าวและจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวด้วยกันเป็นประจำ ซึ่ง สตราวด์ ย้ำว่า “ความผูกพันเหล่านี้ไม่ได้หยุดแค่ในสนามซ้อม มันคือหัวใจของทีมที่ทำให้เรากลายเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ”
ชัยชนะของความเชื่อและหัวใจ
วันนี้ มอลล์บี เอไอเอฟ ได้พิสูจน์ให้ทั้งยุโรปเห็นแล้วว่า สโมสรเล็กจากหมู่บ้านริมทะเลก็สามารถเอาชนะเงิน ชื่อเสียง และขนาดทีมได้ หากมีความเชื่อ ความสามัคคี และแนวคิดที่ถูกต้อง
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอล แต่คือบทพิสูจน์ของพลังชุมชนเล็กๆ ที่รวมใจกันสร้างความยิ่งใหญ่ และตอนนี้ เรื่องราวของพวกเขากำลังจะก้าวออกไปบนเวทียุโรปในฐานะแชมป์ลีกสวีเดนอย่างสง่างาม
- ติดตามข่าวสารกีฬาและ Livestream ได้ที่ .. https://www.facebook.com/E2livethailand














Leave a Reply